สายการผลิตของคุณต้องหยุดงานบ่อยแค่ไหนต่อเดือน?

บางครั้งแค่การหยุดเครื่อง 10–15 นาทีดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าคุณลองนับรวมทั้งเดือนดูดีๆ คุณอาจจะตกใจว่าเวลาที่เสียไปนั้น เท่ากับ “หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ที่เครื่องไม่ได้ผลิตอะไรเลย”

และเมื่อเวลาหยุดงานสะสมขึ้นทุกวัน… นั่นคือกำไรที่ค่อยๆ หายไปโดยที่คุณไม่รู้ตัว

ในบทความนี้ เราจะชวนคุณมาเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับ “Downtime” หรือเวลาที่ไลน์ผลิตหยุด พร้อมแนวทางแก้ไขด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติรุ่นใหม่ เช่น KINETEX Z130 หรือ OSI120 ที่ช่วยให้เครื่องเดินลื่น ยอดผลิตไหลต่อเนื่อง และทีมงานไม่ต้องคอยวิ่งแก้ปัญหาตลอดวัน

แค่หยุด 15 นาที…อาจเสียยอดผลิตหลักแสนชิ้นต่อเดือน

หลายโรงงานมองว่า การหยุดเครื่องวันละไม่กี่ครั้งเป็นเรื่องปกติ เช่น หยุดเพื่อ:

  • เช็กคุณภาพสินค้า

  • ปรับใบพับหรือตำแหน่งกล่อง

  • เคลียร์ปัญหาจุกจิก

  • รีเซ็ตโปรแกรม

แต่ลองคิดตามนี้…

  • ถ้าหยุดวันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 15 นาที = 1 ชั่วโมง/วัน

  • เดือนหนึ่งผลิต 25 วัน = หยุดไป 25 ชั่วโมง

  • ถ้าเครื่องทำงานที่ 80 ชิ้น/นาที = คุณเสียยอดผลิตไป 120,000 ชิ้น

ไม่ต้องพูดถึงค่าแรง ค่าไฟ และต้นทุนคงที่อื่นๆ ที่ยังต้องจ่าย ทั้งที่ไม่มีชิ้นงานออกมาเลย

Downtime ไม่ใช่แค่หยุดเครื่อง…แต่มันคือ “ต้นทุนที่มองไม่เห็น”

เวลาที่เครื่องหยุด มันไม่ใช่แค่ “หยุด” แล้วจบไป แต่ยังหมายถึง:

  • คนต้องรอ

  • สินค้าค้างในไลน์

  • ต้องตั้งค่าใหม่ทุกครั้ง

  • งานสะดุดทั้งระบบ

  • ออเดอร์ต้องเลื่อน

และสิ่งที่คุณเสียแน่ๆ คือ:

  • ค่าแรงที่ต้องจ่ายอยู่ดี

  • ค่าไฟ ค่าอากาศอัด ค่าเช่าเครื่อง

  • โอกาสในการปั่นยอดผลิตให้ได้มากกว่านี้

  • ความเชื่อมั่นของลูกค้า ถ้าเกิดส่งของล่าช้า

ในขณะที่คู่แข่งที่ใช้ระบบอัตโนมัติ อาจผลิตได้ 100% เต็มวัน โดยไม่ต้องหยุดเลย

ทำไมระบบ manual หรือ semi-auto ถึงมี Downtime บ่อย?

ยังมีหลายโรงงานที่ใช้เครื่องแบบกึ่งอัตโนมัติ หรือระบบที่ต้องคอยใช้แรงงานช่วยในหลายขั้นตอน เช่น:

  • ป้อนใบพับด้วยมือ

  • ตั้งค่าภาพกล้องด้วยช่าง

  • คัดสินค้าด้วยตาเปล่า

  • ต้องหยุดเครื่องเพื่อเช็กสินค้าในแต่ละรอบ

ซึ่งแน่นอนว่า…
ใช้คนมาก = โอกาสผิดพลาดเยอะ
หยุดบ่อย = ผลิตได้ไม่เต็มที่

และทุกครั้งที่ต้อง “หยุดเพื่อเช็ก” หรือ “หยุดเพื่อแก้” คือการหยุดที่ควร “ไม่ต้องเกิด” ถ้าคุณใช้เครื่องจักรที่ออกแบบมาเพื่อเดินต่อเนื่องแบบอัตโนมัติจริงๆ

เครื่องจักรที่ช่วยลด Downtime ได้จริง: KINETEX Z130 และ OSI120

KINETEX Z130 – เครื่องบรรจุกล่องอัตโนมัติความเร็วสูง

เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็ว + ความแม่นยำ เช่น บรรจุแผงยา, ซองฟอยล์, มาส์ก หรือขวดขนาดเล็ก

จุดเด่น:

  • เดินได้ 30–120 กล่อง/นาที

  • ตรวจจับใบพับ สินค้า กล่อง ด้วย Photo Sensor + Vision

  • คัดกล่องไม่สมบูรณ์อัตโนมัติ (ไม่ต้องหยุดไลน์)

  • ใช้ระบบ Siemens + Omron ทำงานเสถียร

  • มี HMI ปรับค่าได้เร็ว ไม่ต้องจูนบ่อย

KINETEX OSI120 – เครื่อง cartoning แนวนอน สำหรับขวดหรือ blister

ออกแบบมาให้ทำงานต่อเนื่องตั้งแต่จัดเรียงขวด → ใส่ใบพับ → ปิดกล่อง → พิมพ์ลอต

จุดเด่น:

  • ระบบใบพับอัตโนมัติ 1–4 พับ

  • เซ็นเซอร์ตรวจสินค้าขาด/ใบพับหล่น

  • Reject อัตโนมัติ ไม่ต้องหยุดเครื่อง

  • สวิตช์หยุดฉุกเฉินกรณี overload ป้องกันเสียหาย

  • มีระบบเก็บข้อมูลการผลิต Real-time

แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่า ถึงเวลาต้องอัปเกรด?

ลองสังเกตดูสิคะว่าในแต่ละวัน:

  • ต้องหยุดเครื่องเกิน 30 นาทีไหม?

  • ต้องใช้คนปรับค่าทุกครั้งที่เปลี่ยนขนาดกล่องไหม?

  • พนักงานต้องเรียกช่างเข้ามาช่วยบ่อยแค่ไหน?

  • ผลิตไม่ทันแม้จะเพิ่มคนไปแล้ว?

  • ลูกค้าคอมเพลนเรื่องของถึงช้าบ้างไหม?

ถ้าคำตอบคือ “ใช่” มากกว่า 2 ข้อ
อาจถึงเวลาแล้วที่คุณควรเริ่มวางแผนอัปเกรดเครื่องจักรให้ทันสมัยขึ้น

บทสรุป: ลด Downtime = เพิ่มกำไร โดยไม่ต้องเพิ่มแรงงาน

ทุกนาทีที่เครื่องหยุดทำงาน คุณเสียโอกาสในการผลิต
แต่การเพิ่มพนักงานอาจไม่ใช่คำตอบ เพราะ:

  • คนยังต้องรอเครื่อง

  • ความผิดพลาดก็ยังเกิด

  • ต้นทุนแรงงานเพิ่มทุกปี

ในทางตรงกันข้าม
ถ้าคุณสามารถทำให้เครื่อง “เดินต่อเนื่อง” ได้มากที่สุด
คุณจะเพิ่มยอดผลิตโดยไม่ต้องเพิ่มคน

และเครื่องจักรอัตโนมัติอย่าง Z130 หรือ OSI120 คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณไปถึงจุดนั้น

Share the Post:

Related Posts

ตรวจแรงกดและน้ำหนักเม็ดยาได้แม่นยำ = เม็ดยาคุณภาพสม่ำเสมอ

ลองนึกภาพดูว่า ในหนึ่งวันคุณผลิตเม็ดยาออกมากี่เม็ด?หลักหมื่น? หลักแสน? หรือบางโรงงานอาจแตะหลักล้านเม็ด/วัน ในจำนวนนี้ ถ้ามีเม็ดยาน้ำหนักเบาเกินไปแม้แค่ 5 มิลลิกรัม หรือแรงกดไม่พอจนเม็ดแตกง่าย คุณรู้ไหมว่านั่นอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้ ล็อตนั้นไม่ผ่าน QC หรือ ถูกลูกค้าเคลมคืน ได้เลย และสิ่งที่เสียไป ไม่ใช่แค่เม็ดนั้นๆ แต่รวมถึง “ความน่าเชื่อถือของแบรนด์” ซึ่งกว่าจะได้คืนมา ไม่ง่ายเลย ในบทความนี้ เราจะมาคุยกันว่า ทำไมน้ำหนักและแรงกดของเม็ดยาถึงสำคัญ เครื่องจักรรุ่นใหม่มีเทคโนโลยีอะไรที่ช่วยควบคุมได้แบบ Real-time และทำไมหลายโรงงานจึงเริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องอัดเม็ดยา GZPT-Y ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับระดับไมครอน เพื่อช่วยให้เม็ดยามีคุณภาพสม่ำเสมอตลอดล็อต ปัญหาน้ำหนักเม็ดยาไม่เท่ากัน อาจดูเล็ก…แต่ผลกระทบไม่เล็กเลย ในสายตาของผู้บริโภคทั่วไป เม็ดยาอาจดูเหมือนกันหมดแต่ในความจริง ถ้าน้ำหนักต่างกันเพียงนิดเดียว

Read More

5 ปัญหาในสายการผลิตยา และวิธีแก้ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ

5 ปัญหาในสายการผลิตยา และวิธีแก้ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ ทุกวันนี้ โรงงานผลิตยาต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งในแง่ของคุณภาพ ความเร็ว มาตรฐานที่เข้มงวด และต้นทุนที่ต้องควบคุมให้อยู่หมัด หลายโรงงานยังคงใช้กระบวนการผลิตแบบเดิม ที่ต้องพึ่งพาแรงงานคนจำนวนมาก และควบคุมคุณภาพด้วยวิธีที่ไม่ทันสมัยเท่าไรนัก นั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จนสะสมเป็นต้นทุนแฝง และอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการขยายกำลังผลิตในอนาคต บทความนี้จะพาคุณไล่เรียง “5 ปัญหาหลักในสายการผลิตยา” ที่พบได้บ่อยในโรงงานทั่วประเทศ พร้อมวิธีรับมือด้วย “เครื่องจักรอัตโนมัติ” ที่ทำได้มากกว่าแค่เดินไลน์ แต่สามารถ “วัด-ปรับ-ควบคุม” ได้แบบ Real-time 1. น้ำหนักเม็ดยาไม่สม่ำเสมอ น้ำหนักเม็ดยาคือเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะกับโรงงานที่ต้องส่งออกหรือตรวจรับโดยหน่วยงานอย่าง FDA หรืออย. ถ้าเม็ดยาเบาหรือหนักเกินเกณฑ์แม้แค่เล็กน้อย ก็ถือว่า

Read More