5 ปัญหาในสายการผลิตยา และวิธีแก้ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ

5 ปัญหาในสายการผลิตยา และวิธีแก้ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ

ทุกวันนี้ โรงงานผลิตยาต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งในแง่ของคุณภาพ ความเร็ว มาตรฐานที่เข้มงวด และต้นทุนที่ต้องควบคุมให้อยู่หมัด

หลายโรงงานยังคงใช้กระบวนการผลิตแบบเดิม ที่ต้องพึ่งพาแรงงานคนจำนวนมาก และควบคุมคุณภาพด้วยวิธีที่ไม่ทันสมัยเท่าไรนัก นั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จนสะสมเป็นต้นทุนแฝง และอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการขยายกำลังผลิตในอนาคต

บทความนี้จะพาคุณไล่เรียง “5 ปัญหาหลักในสายการผลิตยา” ที่พบได้บ่อยในโรงงานทั่วประเทศ พร้อมวิธีรับมือด้วย “เครื่องจักรอัตโนมัติ” ที่ทำได้มากกว่าแค่เดินไลน์ แต่สามารถ “วัด-ปรับ-ควบคุม” ได้แบบ Real-time

1. น้ำหนักเม็ดยาไม่สม่ำเสมอ

น้ำหนักเม็ดยาคือเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะกับโรงงานที่ต้องส่งออกหรือตรวจรับโดยหน่วยงานอย่าง FDA หรืออย. ถ้าเม็ดยาเบาหรือหนักเกินเกณฑ์แม้แค่เล็กน้อย ก็ถือว่า “ไม่ผ่าน”

สาเหตุที่น้ำหนักไม่สม่ำเสมอมักเกิดจาก:

  • แรงอัดไม่คงที่

  • การป้อนผงไม่เสถียร

  • ปริมาณผงในถังป้อนลดลงแต่เครื่องยังจ่ายเท่าเดิม

  • ความชื้นของผงเปลี่ยนแต่แรงกดไม่ปรับตาม

โรงงานจำนวนมากยังคงพึ่งการ “หยุดเครื่องแล้วชั่งตัวอย่าง” เป็นระยะๆ ซึ่งไม่เพียงพอต่อการควบคุมคุณภาพในยุคนี้

แนวทางแก้:
เครื่องอัดเม็ดยาอัตโนมัติรุ่นใหม่ เช่น GZPT-Y Series มาพร้อมระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงอัดและน้ำหนักของเม็ดแบบ Real-time ช่วยให้สามารถปรับแรงอัดและปริมาณผงได้อัตโนมัติ ลดความเสี่ยงเรื่องน้ำหนักคลาดเคลื่อน และเพิ่มโอกาสผ่านการตรวจสอบได้ทุกล็อต

2. เครื่องหยุดบ่อย เพราะต้องตั้งค่าซ้ำหรือเช็กคุณภาพ

หลายคนเข้าใจว่า Downtime เกิดจากเครื่องพังเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว เวลาที่เสียไประหว่าง “หยุดเครื่องเพื่อเทสต์” “ปรับค่าแรงอัด” หรือ “เช็กเม็ดยาแบบแมนนวล” นั้นรวมกันแล้วเสียเวลาไม่น้อยเลย

ถ้าเครื่องไม่มีระบบตรวจจับหรือปรับอัตโนมัติ ทุกครั้งที่สูตรเปลี่ยน ความเร็วเปลี่ยน ความชื้นเปลี่ยน หรือวัตถุดิบเปลี่ยน ก็ต้อง “หยุดเครื่องแล้วปรับ” เสมอ

แนวทางแก้:
ระบบอัตโนมัติที่มาพร้อมเซ็นเซอร์, encoder และ HMI ช่วยให้สามารถตั้งค่า ปรับแรงกด หรือหยุดการป้อนผงแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องหยุดเครื่องบ่อยๆ เพิ่มเวลาการผลิตต่อวันให้ได้มากขึ้นอย่างชัดเจน

3. ใช้แรงงานมากเกินจำเป็น

หนึ่งไลน์ผลิตอาจมีคนประจำหลายจุด เช่น:

  • คนป้อนผง

  • คนตั้งค่าแรงอัด

  • คนชั่งเม็ดยา

  • คนบันทึกค่าผลผลิต

  • คนเก็บตัวอย่างส่งห้องแล็บ

และถ้าใครหยุดงานกะทันหัน การผลิตอาจสะดุดทันที

ไม่เพียงแค่เรื่องค่าแรงที่สูงขึ้นทุกปี แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงในช่วงที่แรงงานขาดแคลน และความผิดพลาดจากการทำงานด้วยมือ

แนวทางแก้:
เครื่องจักรรุ่นใหม่สามารถทำงานแทนคนได้หลายจุด เช่น:

  • ระบบป้อนวัตถุดิบแบบสุญญากาศ

  • ระบบ reject เม็ดน้ำหนักผิดโดยอัตโนมัติ

  • ระบบบันทึกค่าผลิตเข้าสู่ระบบแบบมี audit trail

ช่วยลดจำนวนพนักงานต่อไลน์ และลดความเสี่ยงจาก Human error ได้มาก

4. ความเสี่ยงต่อมาตรฐาน GMP / FDA

โรงงานที่ไม่มีระบบตรวจวัดแบบ Real-time หรือไม่มีบันทึกอัตโนมัติ อาจเจอปัญหาเวลาถูกตรวจ:

  • ไม่มีหลักฐานว่าน้ำหนักเม็ดยาคงที่

  • ไม่มีระบบเก็บข้อมูลแรงอัดแต่ละล็อต

  • ไม่มี log ผู้ใช้งานเครื่อง

  • ขาดระบบยืนยันตัวตนหรือ digital signature

และนั่นอาจหมายถึง “ไม่ผ่าน” การตรวจรับ หรือโดนให้แก้ไขซ้ำๆ ซึ่งเสียทั้งเวลาและความน่าเชื่อถือ

แนวทางแก้:
เครื่องจักรที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับ FDA 21 CFR Part 11 หรือ GMP เช่นเครื่อง GZPT ที่มีระบบ IPC ควบคุมแบบเต็มรูปแบบ จะช่วยให้คุณ:

  • เก็บข้อมูลแบบดิจิทัล

  • บันทึกผู้ใช้งาน

  • ตรวจสอบย้อนหลังได้ครบ

  • ออก report ได้ทันที

ทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณ “พร้อมตรวจ” ตลอดเวลา

5. ต้นทุนต่อหน่วยสูงเกินไป

สุดท้ายแล้ว ถ้าเครื่องเดินน้อย หยุดบ่อย ใช้แรงงานเยอะ มีของเสียบ่อย ต้นทุนต่อหน่วยของคุณก็จะสูงกว่าที่ควรจะเป็น

และเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ คุณอาจสู้เขาไม่ได้ทั้งเรื่องราคาและเวลา

แนวทางแก้:
ระบบอัตโนมัติไม่ได้แค่ช่วยลดคน แต่ยัง:

  • เพิ่มเวลาการผลิตต่อวัน

  • ลดปัญหาจากแรงงาน

  • ลดของเสียจากความผิดพลาด

  • ช่วยให้ QC ทำงานได้เร็วขึ้น

ส่งผลให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อเม็ดลดลง และคุณสามารถ “แข่งขัน” ได้มากขึ้น

บทสรุป: ถึงเวลายกระดับสายการผลิตยา ด้วยระบบอัตโนมัติ

ปัญหาหลักในโรงงานยาไม่ได้เกิดจากเครื่องเสีย แต่เกิดจากเครื่องที่ “ไม่รู้จักวัด ไม่รู้จักปรับ และควบคุมไม่ได้”

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกล การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติจึงไม่ใช่เรื่อง “ฟุ่มเฟือย” แต่คือ “กลยุทธ์ที่จำเป็น” เพื่อให้:

  • เม็ดยามีคุณภาพสม่ำเสมอ
  • ผลิตได้ต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด
  • พร้อมรับการตรวจสอบจากทุกมาตรฐาน
  • ลดต้นทุนโดยไม่ลดคุณภาพ

แนะนำ:
หากคุณกำลังมองหาโซลูชันสำหรับสายการผลิตยา ทั้งเครื่องอัดเม็ด เครื่องบรรจุ หรือระบบตรวจสอบแบบ Real-time ที่ครบวงจร

KINETEX พร้อมช่วยออกแบบ ติดตั้ง และอบรมจนคุณใช้งานได้อย่างมั่นใจ

📩 ทักเข้ามาสอบถามได้เลย เรายินดีช่วยให้สายการผลิตของคุณ “เดินได้เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และพร้อมส่งออกทุกล็อต”

Share the Post:

Related Posts

ตรวจแรงกดและน้ำหนักเม็ดยาได้แม่นยำ = เม็ดยาคุณภาพสม่ำเสมอ

ลองนึกภาพดูว่า ในหนึ่งวันคุณผลิตเม็ดยาออกมากี่เม็ด?หลักหมื่น? หลักแสน? หรือบางโรงงานอาจแตะหลักล้านเม็ด/วัน ในจำนวนนี้ ถ้ามีเม็ดยาน้ำหนักเบาเกินไปแม้แค่ 5 มิลลิกรัม หรือแรงกดไม่พอจนเม็ดแตกง่าย คุณรู้ไหมว่านั่นอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้ ล็อตนั้นไม่ผ่าน QC หรือ ถูกลูกค้าเคลมคืน ได้เลย และสิ่งที่เสียไป ไม่ใช่แค่เม็ดนั้นๆ แต่รวมถึง “ความน่าเชื่อถือของแบรนด์” ซึ่งกว่าจะได้คืนมา ไม่ง่ายเลย ในบทความนี้ เราจะมาคุยกันว่า ทำไมน้ำหนักและแรงกดของเม็ดยาถึงสำคัญ เครื่องจักรรุ่นใหม่มีเทคโนโลยีอะไรที่ช่วยควบคุมได้แบบ Real-time และทำไมหลายโรงงานจึงเริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องอัดเม็ดยา GZPT-Y ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับระดับไมครอน เพื่อช่วยให้เม็ดยามีคุณภาพสม่ำเสมอตลอดล็อต ปัญหาน้ำหนักเม็ดยาไม่เท่ากัน อาจดูเล็ก…แต่ผลกระทบไม่เล็กเลย ในสายตาของผู้บริโภคทั่วไป เม็ดยาอาจดูเหมือนกันหมดแต่ในความจริง ถ้าน้ำหนักต่างกันเพียงนิดเดียว

Read More

สายการผลิตของคุณต้องหยุดงานบ่อยแค่ไหนต่อเดือน?

บางครั้งแค่การหยุดเครื่อง 10–15 นาทีดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าคุณลองนับรวมทั้งเดือนดูดีๆ คุณอาจจะตกใจว่าเวลาที่เสียไปนั้น เท่ากับ “หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ที่เครื่องไม่ได้ผลิตอะไรเลย” และเมื่อเวลาหยุดงานสะสมขึ้นทุกวัน… นั่นคือกำไรที่ค่อยๆ หายไปโดยที่คุณไม่รู้ตัว ในบทความนี้ เราจะชวนคุณมาเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับ “Downtime” หรือเวลาที่ไลน์ผลิตหยุด พร้อมแนวทางแก้ไขด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติรุ่นใหม่ เช่น KINETEX Z130 หรือ OSI120 ที่ช่วยให้เครื่องเดินลื่น ยอดผลิตไหลต่อเนื่อง และทีมงานไม่ต้องคอยวิ่งแก้ปัญหาตลอดวัน แค่หยุด 15 นาที…อาจเสียยอดผลิตหลักแสนชิ้นต่อเดือน หลายโรงงานมองว่า การหยุดเครื่องวันละไม่กี่ครั้งเป็นเรื่องปกติ เช่น หยุดเพื่อ: เช็กคุณภาพสินค้า ปรับใบพับหรือตำแหน่งกล่อง เคลียร์ปัญหาจุกจิก รีเซ็ตโปรแกรม

Read More